Minimalist in Luxury Design

เสน่ห์ของดีไซน์ minimal ในสินค้าแบรนด์เนม ทั้งมือหนึ่งและมือสอง พร้อมเคล็ดลับการเลือกซื้อและการลงทุน เจาะลึกความคุ้มค่าของแบรนด์หรูที่ยั่งยืนข้ามกาลเวลาที่ SASOM

...

ความงามอันเรียบง่าย: เสน่ห์ของสินค้าแบรนด์เนมดีไซน์มินิมอลที่เหนือกาลเวลา

ในโลกของสินค้าแบรนด์เนมที่มีการแข่งขันสูง ดีไซน์แบบ ‘มินิมอล’ หรือ ‘น้อยแต่มาก’ (Less is More) ของเหล่า Luxury items ได้ยืนหยัดและครองใจผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน ความเรียบง่ายที่แฝงไว้ด้วยความประณีตและการใส่ใจในรายละเอียด คือหัวใจสำคัญที่ทำให้สินค้าแบรนด์เนมในกลุ่มนี้ยังคงเป็นที่ต้องการในตลาดทั้งมือหนึ่งและมือสอง ความนิยมที่ไม่เคยจางหายนี้สะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาการออกแบบที่เน้นความอมตะเหนือกาลเวลา (Timeless)

เพราะฉะนั้นวันนี้ SASOM จะพามาเจาะเรื่องราวของสินค้าแบรนด์เนม ทั้งแบรนด์เนมมือหนึ่งและแบรนด์เนมมือสอง ว่าทำไมความมินิมอลที่อบอวลอยู่ใน Luxury items ถึงได้ครองใจพวกเราขนาดนี้

...

ความหมายของน้อยแต่มากตามนิยาม Minimal

คำว่า ‘มินิมอล’ (Minimal) มีรากฐานมาจากคำว่า ‘Minimalism’ หรือมีชื่อไทยอลังกาลว่า ‘ลัทธิจุลนิยม’ ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นช่วงกลางศศวรรษที่ 20 ในหลากหลายวงการ เช่น ศิลปะ การออกแบบ สถาปัตยกรรม ดนตรี แฟชั่นและปรัชญาการใช้ชีวิต โดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือการต่อต้านแนวคิดงานที่เน้นความอู้ฟู่ โอ่อ่า ที่ปรากฎอยู่ในสไตล์งานศิลปะยุคเก่าอย่างดาดดื่น ซึ่ง Minimalism เชื่อในเรื่องการลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป เพื่อคงไว้เฉพาะสิ่งที่เป็นสาระ (Essence)สำคัญเท่านั้น แนวคิดนี้สื่อถึงความเรียบง่ายและชัดเจน แต่บ่อยครั้งที่คนเข้าใจผิดว่าความน้อยที่ Minimal นำเสนอคือการลดองค์ประกอบ (Elements) ให้น้อยมากที่สุด ซึ่งไม่ค่อยถูกเท่าไรนัก เพราะใจความสำคัญของ ‘ความน้อย’ ที่ว่า จะต้องมากับความหนักแน่นในเชิงความหมาย ไอเดีย หรือ ‘ความมาก’ ในเชิงแก่นสาระ โดยในปัจจุบันหากเรามองงานชิ้นไหนแล้วเห็นว่าองค์ประกอบดูน้อย มีแต่สีขาวคลีนหรืออะไรทำนองนั้น อาจจะไม่ใช่ความมินิมอลที่แท้จริงตามหลักคิดนี้ เพราะความมินิมอลมันคือ ‘ความน้อยแต่มาก’ ที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ สะเทือนอารมณ์ราวกับผีเสื้อกระพือปีกสะเทือนถึงดวงจันทร์อะไรทำนองนั้น

...

ประวัติและวิวัฒนาการของมินิมอลดีไซน์ในวงการแบรนด์เนม

แต่ทีนี้เราจะมาเจาะกันว่า ‘มินิมอล’ ในทางวงการสินค้าแบรนด์เนมมีจุดกำเนิดมาจากไหน? จุดเริ่มต้นของดีไซน์แบบมินิมอลเริ่มจุดติดตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 20s โดยมี Coco Chanel ดีไซน์เนอร์สาวชาวฝรั่งเศสและเป็นผู้ก่อตั้งแบรนด์หรูอย่าง Chanel เป็นผู้จุดกระแสแนวคิดนี้ในวงการ เห็นได้จากประโยคอมตะของเธออย่าง “Simplicity is the keynote of all true elegance.” หรือ “ความเรียบง่ายคือความงดงามที่แท้จริง” โดยเราสามารถเห็นตัวอย่างได้จาก A Little Black Dress หรือชุดเดรสสีดำ ของ Coco Chanel ซึ่งถือได้ว่าปฏิวัติวงการแฟชั่นหรูแบบพลิกฟ้าผืนแผ่นดิน เพราะสลัดภาพของการแต่งตัวแบบวิคตอเรียน ละทิ้งกระโปรงสุ่มไก่และคอร์เซ็ต ให้เหลือเพียงชุดที่ใส่สบายและสีดำ จนถึงขนาดที่ Vogue ในยุคสมัยนั้นยกย่องว่า ‘Little Black Dress จะกลายเป็นชุดสำหรับหญิงสาวที่มีรสนิยม’ และไม่ผิดคาด ชุดสีดำเรียบง่ายใส่สบายตัวนี้ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในสินค้าแบรนด์เนมประจำตู้เสื้อผ้าแล้วจริงๆ ซึ่งหากยกตัวอย่างเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับ A Little Black Dress ก็คงเป็นตอนที่ เจ้าหญิงไดอาน่า สวมชุดกระโปรงสีดำในงานปาร์ตี้ Serpentine Gallery’s Summer Party ในปี 1994 นั่นเอง

และถึงแม้ตัว Coco Chanel จะไม่เคยบอกว่าตัวเธอใช้แนวคิด Minimalism ในการออกแบบชุด แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลงานของเธอมีรากฐานมาจากแนวคิดนี้ และแพร่ขยายออกไปยังทั่วอุตสหกรรมสินค้าแบรนด์เนม จนในที่สุดแนวคิดแบบ Minimal ที่ถูกพัฒนาโดยดีไซเนอร์รุ่นต่อมา ก็ได้กลายเป็นกระแสหลักในวงการสินค้าแบรนด์เนม อาทิ Yves Saint Laurent กับชุดสูททักซิโด้สำหรับผู้หญิง (Le Smoking Suit) ซึ่งสะท้อนความสง่างามและเรียบหรูในแบบมินิมอล Calvin Klein ในยุค 1990 กับการออกแบบที่เน้นความสะอาดตา เรียบง่าย และโทนสีพื้น เช่น ขาว เทา ดำ

การออกแบบแบบมินิมอลไม่ได้หมายถึงแค่ความเรียบง่าย แต่คือการลดทอนสิ่งที่ไม่จำเป็นออกจนเหลือแต่แก่นแท้ของความงาม แบรนด์ระดับโลกอย่าง Hermès เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปรัชญานี้ กระเป๋า Birkin ที่มีดีไซน์เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยความประณีตในทุกรายละเอียด กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราที่ยั่งยืน

...

ความโดดเด่นของสินค้าแบรนด์เนมมือหนึ่งกับความมินิมอล

อย่างที่ทราบกันดีว่าสินค้าแบรนด์เนมมือหนึ่งนั้นมีราคาสูง แต่เหตุที่ผู้คนต่างเสพติดสินค้าแบรนด์เนมนั่นก็เพราะความมินิมอลฉายภาพความความอมตะ และโดดเด่นด้วยองค์ประกอบสำคัญดังนี้:

วัสดุคุณภาพสูง: สินค้าแบรนด์เนมขึ้นชื่อเรื่องของวัสดุคุณภาพสูง ทนทาน และให้สัมผัสที่เหนือระดับ ยกตัวอย่างกระเป๋า Hermès Birkin ที่มีวัสดุหลากหลาย เช่นหนังลูกวัว ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความเบา ทนทาน และลวดลายธรรมชาติอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้ Hermès เลือกนำมาใช้เพื่อมอบความพรีเมียมกับลูกค้า

การตัดเย็บที่ประณีต: หลากหลายแบรนด์หรูต่างใช้ช่างฝีมือช่างระดับสูงที่สั่งสมประสบการณ์มายาวนานในการสร้างสรรค์ชิ้นงานที่สมบูรณ์แบบในทุกรายละเอียด จนเรียกได้ว่าสินค้าแบรนด์เนมนั้นมาพร้อมกับความเป็น Craftmanship อย่างเต็มเปี่ยม อย่างตัวกระเป๋า Hermès Birkin ที่เพิ่งยกตัวอย่างไปก็ใช้ช่างฝีมือเย็บกระเป๋าถึง 48 ชั่วโมง/ 1 ใบ หรือกระเป๋า Chanel ที่มีขั้นตอนการตัดเย็บมากกว่า 180 ขั้นตอน

สี ดีไซน์และรูปทรงที่เรียบง่าย: การใช้โทนสีคลาสสิกและรูปทรงพื้นฐาน ทำให้สินค้าสามารถใช้งานได้ยาวนานโดยไม่ล้าสมัย แถมแต่ละแบรนด์ยังมีการดีไซน์ตัว Monogram ประจำแบรนด์เพื่อสะท้อนประวัติศาสตร์และเรื่องราวของพวกเขา

และในตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือหนึ่ง เราจะเห็นแบรนด์ชั้นนำหลายรายที่ยึดมั่นในแนวทางมินิมอลอย่าง Céline ภายใต้การนำของ Phoebe Philo สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายแต่ทันสมัย กระเป๋า Classic Box และ Luggage กลายเป็นไอคอนของแบรนด์ รวมถึง Saint Laurent ก็นำเสนอความหรูหราผ่านดีไซน์ที่เรียบง่าย โดยเฉพาะในไลน์กระเป๋า Manhattanและ Sac de Jour ที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยทั้งหมดก็ยังคลอไปกับความพิถีพิถันในทุกกระบวนการ นั่นทำให้สินค้าแบรนด์เนมมือหนึ่ง ถึงแม้จะแพงแต่ก็คุ้มค่าที่เราจะจ่าย เพราะความมินิมอลมันมาพร้อมกับคุณภาพและความอมตะ (Timeless) นั่นเอง

...

ตลาดสินค้าแบรนด์เนมมือสอง

ในส่วนของสินค้าแบรนด์เนมมือสอง ดีไซน์แบบมินิมอลยิ่งแสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่า โดยเฉพาะหากพิจารณาในแง่ของการลงทุน (Investment) ด้วยคุณภาพของวัสดุขั้นสุด รวมถึงการออกแบบที่ไม่ล้าสมัย ทำให้ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปี สินค้าแบรนด์เนมมือสองก็ยังคงเป็นที่ต้องการในตลาด และดูทีท่าว่าจะเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ เห็นได้จากกระเป๋าแบรนด์เนมบางรุ่นมีราคาสูงขึ้นตามกาลเวลา จนคนที่ครอบครองกระเป๋าแบรนด์เนมก็สามารถขายเพื่อทำกำไร หรือขายเพื่อซื้อใบใหม่ก็ได้

...

การเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมมือสองควรคำนึงถึงอะไรบ้าง

SASOM แนะนำว่าหากต้องการเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมมือสอง ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า แว่นตา หรือเครื่องประดับ ควรยึดถือหลักการอย่างน้อย 4 อย่างเพื่อความคุ้มค่า อย่างแรกคือ ‘สภาพของสินค้า’ โดยเฉพาะความสมบูรณ์ของวัสดุและการตัดเย็บ จริงอยู่ที่กระบวนการผลิตสินค้าแบรนด์เนมของแท้นั้นย่อมมีคุณภาพสูง และคงทนอยู่แล้ว แต่การใช้งานในชีวิตประจำที่ไม่ได้เกิดจากความระมัดระวังก็ทำให้เกิดร่องรอยไม่พึงประสงค์เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นหากอยากเก็บแบรนด์เนมมือสองจริงๆ ก็ควรจะระแวดระวังเรื่องนี้ด้วย ถัดมาคือ ‘การใช้งานและการดูแลรักษา’ การใช้งานในที่นี้คือให้ดูว่าสินค้าแบรนด์เนมมือสองที่เราเล็งอยู่ มันสร้างมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร และตรงกับไลฟ์สไตล์ของเราหรือไม่ หากเราเป็นคนสมบุกสมบัน เน้นการใช้งาน การเลือกกระเป๋าที่จุของได้เยอะและทนทาน ก็เป็นตัวเลือกที่ทำให้เราได้สินค้าตรงตามความประสงค์ของเรา รวมถึงไอเทมแบรนด์เนมแต่ละชิ้นมีการดูแลไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นต้องหาข้อมูลดีๆ ว่าสินค้าแบรนด์เนมมือสองชิ้นนี้เหมาะกับเราจริงๆ หรือไม่ ต่อไปเป็น ‘ราคาเทียบกับสภาพและความต้องการในตลาด (Demand & Supply)’ ข้อนี้ถือว่าเป็นหัวข้อใหญ่สำหรับคนที่มองว่าสินค้าแบรนด์เนมคือการลงทุน เราจำเป็นต้องดูว่ากระเป๋าแต่ละใบมีความต้องการสูงมากน้อยแค่ไหน หากดูแล้วกระเป๋าแบรนด์เนมใบไหนเป็นที่นิยม คนเล่นเยอะ ก็อาจมีลุ้นได้ว่าราคาจะดีดตัวสูงขึ้นตามค่า Demand หรือหากเป็นสินค้า Limited หรืองาน Collaboration กับดีไซน์เนอร์ตัวท็อปของวงการ ก็คาดเดาได้เลยว่าอนาคตราคาจะพุ่งแน่นอน เพราะส่วนใหญ่ของพวกนี้จะผลิตออกมาน้อยนั่นเอง และอย่างสุดท้าย ‘เลือกซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ’ ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวไปในข้างต้นจะหมดความสำคัญลงทันทีหากสินค้าแบรนด์เนมที่คุณได้มาคือ ‘ของปลอม’ เพราะฉะนั้นการเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้ อย่างแพลตฟอร์ม SASOM ก็จะทำให้คุณหมดห่วงเรื่องว่าแบรนด์เนมที่คุณมีเป็นของปลอมหรือแท้นั่นเอง เพราะคุณอย่าลืมว่าสินค้าแบรนด์เนมของปลอมขายต่อไม่ได้นะ

...

การลงทุนในสินค้าแบรนด์เนมดีไซน์มินิมอล

สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในสินค้าแบรนด์เนม ไอเท็มที่มีดีไซน์แบบมินิมอลถือเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าสินค้าแบรนด์เนมนั้นขึ้นชื่อเรื่องการตัดเย็บและวัสดุอันยอดเยี่ยมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเราควรคำนึงคือเรื่องของ ‘ดีไซน์’ ซึ่งหากเราเน้นสินค้าแบรนด์เนมที่ดีไซน์แบบฉาบฉวย (Fast trends) เวลาเทรนด์มันผ่านพ้นไปคนก็คงไม่เล่นกันแล้ว แต่หากเลือกสินค้าแบรนด์เน้มที่งานออกแบบนั้น Timeless เหนือกาลเวลา นอกจากจะใช้งานได้ยาวนานแล้ว แทบจะการันตีได้ว่ามีโอกาสที่มูลค่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะรุ่น Classic จากแบรนด์หรูชั้นนำ แทบจะเป็นเสือนอนกินได้เลย

สรุป

ความเรียบง่ายในการออกแบบของสินค้าแบรนด์เนมไม่เพียงแต่สร้างความสวยงามที่ยั่งยืน แต่ยังช่วยรักษามูลค่าของสินค้าได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมมือหนึ่งหรือมือสอง การเลือกไอเท็มที่มีดีไซน์เรียบง่ายจึงเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาด เพราะนอกจากจะได้ใช้งานอย่างคุ้มค่าแล้ว ยังมีโอกาสที่มูลค่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคตอีกด้วย

ในยุคที่แฟชั่นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความเรียบง่ายกลับเป็นสิ่งที่ยืนหยัดอย่างมั่นคง สะท้อนให้เห็นว่าในที่สุดแล้ว ความงามที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เพียงแค่ใส่ใจในทุกรายละเอียดและคงไว้ซึ่งคุณภาพที่เป็นเลิศ ก็สามารถครองใจใครต่อใครได้แล้ว

หากเพื่อนๆ คนไหนสนใจสินค้าแบรนด์เนมมือหนึ่ง และสินค้าแบรนด์เนมมือสองสภาพดี ราคาย่อมเยาว์แล้วล่ะก็ ซื้อ-ขายได้เลยที่ www.sasom.co.th หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น SASOM (iOS/Android) เท่านี้ก็สามารถเป็นเจ้าของสินค้าแบรนด์เนมอย่างปลอดภัย ไม่โดนโกงได้แล้ว

เพราะฉะนั้นช้อปแบรนด์เนมแท้ได้เลยที่ SASOM เท่านั้น

บทความแนะนำ

    Minimalist in Luxury Design | SASOM